วันศุกร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2551

ไตรภูมิพระร่วง


ไตรภูมิพระร่วง


     ไตรภูมิพระร่วง เรียกกันในหลาย ๆ ชื่อ ทั้ง ไตรภูมิพระร่วง เตภูมิกถา และไตรภูมิกถา (ฉบับราชบัณฑิตยสถานใช้ "ไตรภูมิกถา") เป็นวรรณคดีพุทธศาสนาที่แต่งในสมัยสุโขทัยประมาณปี พ.ศ.๑๘๘๒ โดยพระยาลิไท ซึ่งรวบรวมจากคัมภีร์ในพระพุทธศาสนา มีเนื้อหาเกี่ยวกับโลกสันฐานที่แบ่งเป็น ๓ ส่วน หรือ ไตรภูมิ ได้แก่ กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ วรรณคดีเรื่องนี้มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับคติความเชื่อของไทยเป็นจำนวนมาก อาทิ เรื่อง นรก สวรรค์ การเวียนว่ายตายเกิด ทวีปทั้งสี่ (เช่น ชมพูทวีป ฯลฯ) ระยะเวลากัปปกัลป์ กลียุค การล้างโลก พระศรีอาริย์ มหาจักรพรรดิราช แก้ว ๗ ประการ ฯลฯ 


ที่มา ไตรภูมิพระร่วง
     เป็นพระราชนิพนธ์ของพระมหาธรรมราชาลิไทซึ่งแต่งขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช ๑๘๘๘ โดยมีพระประสงค์ที่จะเทศนาโปรดพระมารดา และเพื่อจำเริญพระอภิธรรม ไตรภูมิพระร่วงเป็นหลักฐานชิ้นหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถอย่าง ลึกซึ้ง ในด้านพุทธศาสนาของพระมหาธรรมราชาลิไทที่ทรงรวบรวมข้อความต่างๆ ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา นับแต่พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และปกรณ์พิเศษต่างๆ มาเรียบเรียงขึ้นเป็นวรรณคดีโลกศาสตร์เล่มแรกที่แต่งเป็นภาษาไทยเท่าทีมี หลักฐานอยู่ในปัจจุบันนี้ (อ้างอิงจาก นิยะดา เหล่าสุนทร, ไตรภูมิพระร่วง การศึกษาที่มา. กรุงเทพ : สำนักพิมพ์แม่คำผาง, ๒๕๔๓ หน้า ๑๑) 

     ทั้งนี้ อ.สินชัย กระบวนแสง ได้วิเคราะห์เหตุผลการแต่งไตรภูมิพระร่วงของพระมหาธรรมราชาลิไท ว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองด้วย เนื่องจากไตรภูมิเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนรก-สวรรค์ สอนให้คนรู้จักการทำความดีเพื่อจะได้ขึ้นสวรรค์ หากแต่ใครทำชั่วประพฤติตนผิดศีลก็จะต้องตกนรก กล่าวคือ ประชากรในสมัยที่พระมหาธรรมราชาลิไทปกครองนั้นเริ่มมีมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ทำให้การปกครองบ้านเมืองให้สงบสุขปราศจากโจรผู้ร้ายเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น การดูแลของรัฐก็ไม่อาจดูแลได้ทั่วถึง พระมหาธรรมราชาลิไทจึงได้คิดนิพนธ์วรรณกรรมทางศาสนาเรื่องไตรภูมิพระร่วง ขึ้นมาเพื่อที่ต้องการสอนให้ประชาชนของพระองค์ทำความดี เพื่อจะได้ขึ้นสวรรค์มีชีวิตที่สุขสบาย และหากทำความชั่วก็จะต้องตกนรก ด้วยเหตุนี้วรรณกรรมเรื่องไตรภูมิจึงเป็นสิ่งที่ใช้ควบคุมทางสังคมได้เป็น อย่างดียิ่ง เพราะสามารถเข้าถึงจิตใจทุกคนได้โดยมิต้องมีออกกฎบังคับกันแต่อย่างไร เนื้อหา ไตรภูมิพระร่วงเป็นวรรณกรรมทางพุทธศาสนาที่กล่าวถึงภูมิ (แดน) ทั้งสาม คือ กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ ซึ่งมีเนื้อหาพรรณนาถึงที่อยู่ ที่ตั้ง และการเกิดของมนุษย์ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย และเทวดา ที่ตั้งเหล่านี้มีเขาพระสุเมรุเป็นหลัก เขาพระสุเมรุนั้นตั้งอยู่ท่ามกลางจักรวาล มีทิวเขาและทะเลล้อม ทิวเขามีชื่อต่างๆดังนี้ 
      ๑. ยุคนธร 
      ๒. อิสินธร 
      ๓. กรวิก 
      ๔. สุทัศน์ 
      ๕. เนมินธร 
      ๖. วินันตก และ 
      ๗.อัศกรรณ 

      ซึงเป็นเขารอบนอกสุด ทิวเขาเหล่านี้รวมเรียกว่าเขาสัตตบริภัณฑ์ ส่วนทะเลที่รายล้อมอยู่ 7 ชั้น เรียกว่า มหานทีสีทันดร ถัดจากทิวเขาอัศกรรณออกมาเป็นมหาสมุทรอยู่ทั่วทุกด้าน แล้วจะมีภูเขาเหล็กกั้นทะเลนี้ไว้รอบเรียกว่า ขอบจักรวาล พ้นไปนอกนั้นเป็นนอกขอบจักรวาล 


นรกภูมิ
     นรกภูมิ มีนรกใหญ่ ๘ ขุม คือ สัญชีพนรก กาลสูตนรก สังฆาฏนรก โรรุพนรก ตาปนรก มหาตาปนรก มหาอเวจีนรก มหาโรรุพนรก สัตว์ที่เกิดในนรกแห่งนี้มีอายุยืนนานนับไม่ถ้วน สัตว์นรกขุมแรกมีอายุยืนได้ 500 ปี (1 วันกับ 1 คืนของเมืองนรกเท่ากับ 9 ล้านปีของเมืองมนุษย์) ส่วนสัตว์นรกที่อยู่ขุมถัดไปมีอายุนับทวีคูณจำนวนปีของขุมนรกแรก นรก 8 ขุมนี้ มีกำแพงเหล็กแดงลุกเป็นไฟอยู่เสมอล้อมเป็นสี่เหลี่ยม พื้นบนและพื้นล่างก็เป็นเหล็กแดงที่ลุกเป็นไฟ กำแพงทั้ง 4 ด้าน ยาวด้านละ 1,000 โยชน์ หนา 9 โยชน์ มีประตูเข้า 4 ประตู ส่วนพื้นบนและพื้นล่างมีความหนา 9 โยชน์ นรกใหญ่แต่ละขุมมีนรกบริวารหรือนรกบ่าวล้อมอยู่ด้านละ 4 ขุม นรกใหญ่ขุมหนึ่งจึงมีนรกบ่าว 16 ขุม นรกใหญ่ 8 ขุมจึงมีนรกบ่าวทั้งหมด 136 ขุม และก็มีนรกเล็กๆน้อยๆอีกจำนวนนับไม่ถ้วน นรกบ่าวทั้ง 16 ขุมรวมเรียกชื่อว่า อุสุทธ (อุสสทนรก) นรกโลกันต์ ยมบาล หรือผู้ดูแลนรกเฝ้าประตูนรกไว้ มีพระยายมราชเป็นผู้ทรงธรรมเที่ยงตรงเป็นใหญ่เหนือยมบาลทั้งหลาย หน้าที่ของพระยายมราชคือสอบสวนบุญบาปของมนุษย์ที่ตายไป หากทำบุญก็จะได้ขึ้นสวรรค์ทำบาปก็จะตกนรก 


ติรัจฉานภูมิ
     ติรัจฉานติภูมิ หรือเดรัจฉานติภูมิ คือแดนของเดียรฉาน แปลว่าตามขวางหรือตามเส้นนอนตรงกันข้ามกับคนซึ่งไปตัวตรง ดังนั้นสัตว์เดรัจฉานก็หมายถึงสัตว์ที่ไปไหนมาไหนต้องคว่ำอก ในหนังสือไตรภูมิตอนนี้เริ่มต้นกล่าวถึงสัตว์อันเกิดมาในแดนเดรัจฉานว่า มีเกิดจากไข่ (อัณฑชะ) จากมีรกอันห่อหุ้ม(ชลาพุชะ) จากใบไม้และเหงื่อไคล(สังเสทชะ) เกิดเป็นตัวขึ้นเองและโตทันที(อุปปาติกะ) สัตว์เดรัจฉานนั้นมีความเป็นอยู่ 3 ประการ คือ รู้สืบพันธุ์ รู้กิน รู้ตาย เรียกเป็นศัพท์ว่า กามสัญญา อาหารสัญญา และมรณสัญญา ส่วนคนนั้นเพิ่มอีกสัญญาหนึ่งคือ ธธมสัญญา คือรู้จักการทำมาหากิน รู้บาปบุญ หรือตรงกับคำว่าวัฒนธรรมนั้นเอง สัตว์ที่กล่าวในแดนเดรัจฉานหลักๆก็มีดังนี้ ราชสีห์ เป็นสัตว์จำพวกเดียวกับสิงโต ไม่มีตัวตนจริงอยู่ในโลกนี้แต่เป็นสัตว์ที่อยู่ในวรรณคดีเท่านั้น ช้างแก้ว อาศัยอยู่ที่ถ้ำทองว่ากันว่าพระพุทธเจ้าเคยเสวยพระชาติเคยไปเกิดเป็นช้าง นี้อยู่หนึ่งชาติ ปลา ในแดนเดรัจฉานนี้ปลาที่อาศัยอยู่ที่นี้จะมีขนาดใหญ่มาก ตัวที่เล็กสุดก็ยังยาวถึง 75 โยชน์ ตัวที่ใหญ่ก็ยาวถึง 5,000 โยชน์ ปลาที่รู้จักกันดีคือ พญาปลาอานนท์ ซึ่งหนุนชมพูทวีปอยู่ ครุฑ อาศัยอยู่ที่ตามฝั่งสระใหญ่ชื่อสิมพลีสระที่ตีนเขาพระสุเมรุหรือสระต้นงิ้ว กว้างได้ 500 โยชน์ พระยาครุฑที่เป็นหัวหน้าตัวโต 50 โยชน์ ปีกยาวอีก 50 โยชน์ ปากยาว 9 โยชน์ ตีนทั้งสองยาว 12 โยชน์ ครุฑกินนาคเป็นอาหาร และเป็นพาหนะของพระนารายณ์ นาค หรืองูมีหงอนและมีตีน นาคมีสองชนิด คือ ถลชะหรือนาคที่เกิดบนบก และชลชะหรือนาคที่เกิดในน้ำ นาคถลชะจะเนรมิตตนเป็นคนหรือเทวดานางฟ้าได้แต่บนบก นาคชลชะจะเนรมิตตนเป็นคนหรือเทวดานางฟ้าได้แต่ในน้ำเท่านั้น เรื่องนาคเป็นที่รู้จักกันดีในประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือเป็นบรรพบุรุษของชนชาติต่างๆ เช่น เขมร ลาว มอญ หงส์ อาศัยอยู่ที่ถ้ำทองบนเขาคิชฌกูฏหรือเขายอดนกแร้ง หงส์เป็นพาหนะของพระพรหม 


เปรตภูมิ
     เปรตเป็นผีเลวชนิดหนึ่ง ในไตรภูมิบรรยายรูปร่างของเปรตไว้ว่า เปรตบางชนิดมีตัวใหญ่ ปากเท่ารูเข็ม เปรตบางชนิดก็ตัวผอมไม่มีเนื้อหนังมังสา ตาลึกกลวง และร้องไห้ตลอดเวลา แต่ก็มีเปรตบางชนิดที่ตัวงามเป็นทอง แต่ปากเป็นหมูและเหม็นมาก สรุปรวมๆแล้วก็คือเมื่อตอนเป็นคนแล้วทำบาปอย่างใดเมื่อตายไปก็จะเป็นเปรต ตามที่ทำบาปไว้ เปรตนั้นมีโอกาสดีกว่าสัตว์นรก เนื่องจากสามารถออกมาขอบุญกุศลจากการทำบุญของมนุษย์ได้ 


อสูรกายภูมิ
     อสูร แปลตรงตัวว่า ผู้ไม่ใช่สุระหรือไม่ใช่พวกเทวดาที่มีพระอินทร์เป็นหัวหน้า เดิมพวกอสูรมีเมืองอยู่บนเขาพระสุเมรุหรือสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั่นเอง ภายหลังพวกเทวดาคิดอุบายมอมเหล้าพวกอสูรเมาจนไม่ได้สติ แล้วพวกเทวดาก็ช่วยกันถีบอสูรให้ตกเขาพระสุเมรุดิ่งจมลงใต้ดิน เมื่ออสูรสร่างเมาได้สติแล้วก็สำนึกตัวได้ว่า เป็นเพราะกินเหล้ามากจนเมามายจึงต้องเสียบ้านเมืองให้กับพวกเทวดาจึงเลิก กินเหล้าแล้วไปสร้างเมืองใหม่ใต้บาดาลเรียกว่า อสูรภพ พวกอสูรกายมีบ้านเมืองเป็นของตนเอง เรียกว่าอสูรภพ อยู่ลึกใต้ดินไป 84,000 โยชน์ เป็นบ้านเมืองงดงามมากเต็มไปด้วยแผ่นทองคำ คือบ้านเมืองของอสูรนี้จะมีเหมือนสวรรค์ของเทวดา เช่น กลางสวรรค์มีต้นปาริชาติ กลางเมืองอสูรก็มีต้นแคฝอย เมืองอสูรมีเมืองใหญ่อยู่ 4 เมืองโดยมีพระยาอสูรปกครองอยู่ทุกเมือง ในบรรดาอสูรมีอยู่ตนหนึ่งมีอำนาจมากชื่อว่า ราหู อสูรราหูมีหน้าตาหัวหูที่ใหญ่โตมากกว่าเหล่าเทวดาทั้งหลายในสวรรค์ ราหูมีความเกลียดชังพระอาทิตย์และพระจันทร์มาก ในวันพระจันทร์เต็มดวงหรือวันเดือนงามและวันเดือนดับ ราหูจะขึ้นไปนั่งอยู่บนเขายุคนธรอันเป็นทิวเขาทิวแรกที่ล้อมเขาพระสุเมรุ ซึ่งเป็นที่อยู่ของเทวดา ราหูจะคอยให้พระอาทิตย์หรือพระจันทร์ผ่านมา เพื่อที่จะคอยอ้าปากอันกว้างใหญ่อมเอาพระจันทร์หรือพระอาทิตย์หายลบไป บางครั้งก็เอานิ้วมือบังไว้บ้าง เอาไว้ใต้คางบ้าง เหตุการณ์เหล่านี้เรียกกันว่า สุริยคราสและจันทรคราส เรื่องราวที่เป็นเหตุทำให้ราหูมีความเกลียดชังพระอาทิตย์และพระจันทร์ก็ คือ มีการกวนเกษียรสมุทรของเหล่าบรรดาเทวดาและอสูรเพื่อทำน้ำอมฤต เมื่อกวนสำเร็จแล้วเทวดาก็ไม่ยอมให้เหล่าอสูรกิน แต่ราหูปลอมเป็นเทวดาเข้าไปกินน้ำอมฤตกับเทวดาด้วย พระอาทิตย์และพระจันทร์เห็นจึงไปฟ้องพระวิษณุว่าราหูปลอมตัวเป็นเทวดามากิน น้ำอมฤต พระวิษณุทรงขว้างจักรแก้วไปตัดตัวราหูออกเป็นสองท่อนแต่ราหูไม่ตายเพราะ ได้กินน้ำอมฤตไปแล้ว ครึ่งตัวท่อนบนจึงเป็นราหูอยู่ แต่ครึ่งตัวท่อนล่างกลายเป็นอสูรอีกตัวหนึ่งชื่อเกตุ 


มนุษยภูม
     กล่าวถึงฝูงสัตว์อันเกิดในมนุษยภูมิ มีกำเนิดดังนี้ ตั้งแต่เริ่มต้นปฏิสนธิในครรภ์มารดาก็เริ่มก่อตัวเป็นกัลละ กัลละมีรูปร่างโปร่งเหลวเหมือนน้ำหรือเหมือนเมือกตม เป็นคำที่ใช้เฉพาะสิ่งที่ห่อหุ้มก่อกำเนิดเป็นคนเท่านั้น กัลละที่ก่อเป็นตัวเด็กขึ้นมานี้ตามวิทยาศาสตร์กล่าวเรียกว่าcell เมื่อเวลาผ่านไปก็เกิดกลายเป็นตัวเด็กขึ้นนั่งกลางท้องแม่และเอาหลังมาชน ท้องแม่ มีสายสะดือเป็นตัวส่งอาหารที่แม่กินเข้าไปให้แก่เด็ก เด็กที่นั่งอยู่กลางท้องแม่นั้นจะนั่งอยู่เวลาประมาณ 8-10 เดือน แล้วจึงคลอดจากท้องแม่ บุตรที่เกิดมาในไตรภูมิแบ่งได้เป็น 3 สิ่ง คือ อภิชาตบุตร เป็นคนเฉลียวฉลาดมีรูปงามหรือมั่งมียศยิ่งกว่าพ่อแม่ อนุชาตบุตร มีเพียงพ่อแม่ อวชาติบุตร ด้อยกว่าพ่อแม่ 

คนทั้งหลายก็แบ่งเป็น 4 ชนิด คือ
     ๑. ผู้ที่ทำบาปฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และบาปนั้นตามทันต้องถูกตัดตีนสินมือและทุกข์โศกเวทนานักหนา พวกนี้เรียกว่า คนนรก 
     ๒. ผู้หาบุญจะกระทำบ่มิได้ และเมื่อแต่ก่อนและเกิดมาเป็นคนเข็ญใจยากจนนักหนา อดอยากไม่มีกิน รูปโฉมก็ขี้เหร่ พวกนี้เรียกว่า คนเปรต 
     ๓. คนที่ไม่รู้จักบาปและบุญ ไม่มีความเมตตากรุณา ไม่มีความยำเกรงผู้ใหญ่ ไม่รู้จักปฏิบัติพ่อแม่ครูอาจารย์ ไม่รักพี่รักน้อง กระทำบาปอยู่ร่ำไป พวกนี้ท่านเรียกว่า คนเดรัจฉาน 
     ๔. คนที่รู้จักบาปและบุญ รู้กลัวรู้ละอายแก่บาป รู้รักพี่รักน้อง รู้กรุณาคนยากจนเข็ญใจ และรู้จักยำเกรงพ่อแม่ผู้เฒ่าผู้แก่ครูอาจารย์ และรู้จักคุณแก้ว 3 ประการ คือ พระรัตนตรัย พวกนี้ท่านเรียกว่า มนุษย์ คนทั้ง 4 ชนิดนี้ พวกหนึ่งเกิดและอยู่ในชมพูทวีปมีรูปหน้ากลมดังดุมเกวียน พวกหนึ่งเกิดและอยู่ในบูรพเท่ห์เบื้องตะวันออกมีรูปหน้าดังเดือนเพ็ญกลมดัง หน้าแว่น พวกหนึ่งเกิดและอยู่ในอุตตรกุรุทวีปฝ่ายเหนือมีรูปหน้าสี่มุมดังท่านแกล้ง ถากให้เป็นสี่เหลี่ยมกว้างและรีเท่ากัน และอีกพวกหนึ่งเกิดและอยู่ในอมรโคยานทวีปเบื้องตะวันตกมีรูปหน้าดังเดือน แรม 8 ค่ำ แผ่นดินทั้งสี่ตั้งอยู่รายล้อมเขาพระสุเมรุ 

      เขาพระสุเมรุนั้นตั้งอยู่ท่ามกลางจักรวาล มีทิวเขาและทะเลล้อมรอบสลับกันได้ 7 ชั้น ทิวเขามีชื่อต่างๆดังนี้ 1. ยุคนธร 2. อิสินธร 3. กรวิก 4. สุทัศน์ 5. เนมินธร 6. วินันตก และ7.อัศกรรณ ซึงเป็นเขารอบนอกสุด ทิวเขาเหล่านี้รวมเรียกว่าเขาสัตตบริภัณฑ์ ส่วนทะเลที่รายล้อมอยู่ 7 ชั้น เรียกว่า มหานทีสีทันดร ถัดจากทิวเขาอัศกรรณออกมาเป็นมหาสมุทรอยู่ทั่วทุกด้าน แล้วจะมีภูเขาเหล็กกั้นทะเลนี้ไว้รอบเรียกว่า ขอบจักรวาล พ้นไปนอกนั้นเป็นนอกขอบจักรวาล 

      ในมหาสมุทรทางทิศใต้ของเขาพระสุเมรุมีทวีปหรือแผ่นดินที่เป็นเกาะใหญ่ ชื่อ ชมพูทวีป มีสัณฐานเป็นรูปไข่ดุจดังดุมเกวียน คนมีรูปหน้ากลมดุจดังดุมเกวียน อายุของคนในชมพูทวีปนั้น หากเป็นผู้ที่เป็นคนดีมีศีลธรรมอายุก็จะยืน หากมีลักษณะตรงกันข้ามก็จะอายุสั้น แผ่นดินนี้คาดว่าจะเป็นภูมิภาคอินเดีย ในมหาสมุทรทางทิศตะวันตกของเขาพระสุเมรุเป็นที่ตั้งของ อมรโคยานทวีป เป็นแผ่นดินกว้างได้ 9,000 โยชน์ มีสัณฐานเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งดวง มีเกาะเล็กเกาะน้อยเป็นบริวารอยู่โดยรอบ คนในทวีปนี้มีรูปหน้าดังพระจันทร์ครึ่งดวง แผ่นดินนี้คาดว่าจะเป็นภูมิภาคอาหรับแถบตะวันออกกลางรวมไปถึงยุโรป 

      ในมหาสมุทรทางทิศตะวันออกของเขาพระสุเมรุเป็นที่ตั้งของ บุรพวิเทหทวีป เป็นแผ่นดินกว้างได้ 7,000 โยชน์ มีสัณฐานเป็นรูปแว่นที่กลม มีเกาะล้อมรอบเป็นบริวาร 400 เกาะ มีแม่น้ำเล็กใหญ่ มีเมืองใหญ่เมืองน้อย คนในทวีปนี้หน้ากลมดังเดือนเพ็ญ มีรูปกะโหลกสั้นอาจหมายถึงมนุษย์เผ่ามองโกเลียน แผ่นดินนี้คาดว่าจะเป็นภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

      ในมหาสมุทรทางทิศเหนือของเขาพระสุเมรุเป็นที่ตั้งของ อุตตรกุรุทวีป เป็นแผ่นดินกว้างได้ 8,000 โยชน์ มีสัณฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีภูเขาทองล้อมรอบ มีเกาะล้อมรอบเป็นบริวาร 500 เกาะ คนในทวีปนี้หน้าเป็นรูปสี่เหลี่ยมมีรูปร่างสมประกอบไม่สูงไม่ต่ำดูงดงาม กล่าวกันว่าคนที่อยู่ทวีปนี้เป็นคนรักษาศีล จึงทำให้แผ่นดินราบเรียบ ต้นไม้ต่างก็ออกดอดงดงามส่งกลิ่นหอมขจรขจายไปทั่ว และเป็นแผ่นดินที่ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน ในแผ่นดินอุตตรกุรุทวีปนี้มีต้นกัลปพฤกษ์ต้นหนึ่ง สูง 100 โยชน์ กว้าง 100 โยชน์ ผู้ใดปรารถนาจะได้แก้วแหวนเงินทองหรือสิ่งใดๆก็ให้ไปยืนนึกอยู่ใต้ต้น กัลปพฤกษ์นี้ ผู้หญิงชาวอุตตรกุรุทวีปนั้นมีความงดงามมาก ส่วนผู้ชายก็เช่นกันมีความงามดังเช่นหนุ่มอายุ 20 ปีกันทุกคน 

      พระยาจักรพรรดิราช พระราชาผู้ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าพระราชาทั้งปวง คือเป็นพระราชาผู้มีจักรหรือล้อแห่งรถเลื่อนแล่นไปได้รอบโลกโดยปราศจาก การขัดขวางหรือปราบปรามทั่วโลก พระยาจักรพรรดิราชนั้นเมื่อชาติก่อนเป็นคนแต่ทำบุญไว้มากเมื่อตายไปจึงไป เกิดในสวรรค์ ในบางครั้งก็มาเกิดเป็นพระยาที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ได้รับพระนามว่า พระยาจักรพรรดิราช เป็นพระยาที่ทรงคุณธรรมทุกประการเป็นเจ้านายคนทั้งหลายพระองค์ทรงตั้งอยู่ ในทศพิศราชธรรม พระยาจักรพรรดิราชมีแก้ว 7 ประการเกิดคู่บารมีมาด้วย แก้วอย่างที่หนึ่งคือ 

      จักรแก้ว จักรแก้วหรือจักรรัตน์จมอยู่ใต้ท้องทะเลลึกได้ 84,000 โยชน์ เมื่อเกิดจักรพรรดิราชขึ้นในโลก จักรแก้วซึ่งเป็นคู่บุญบารมีและจมอยู่ในมหาสมุทรก็จะผุดขึ้นมาจากท้องทะเล พุ่งขึ้นไปในอากาศเกิดเป็นแสงส่องอันงดงามมาน้อมนบ เมื่อพระยาผู้ครองเมืองนั้นทราบว่าพระองค์จะได้เป็นพระยาจักรพรรดิราชปราบ ทั่วจักรวาลเพราะมีจักรแก้วมาสู่พระองค์ พระยาจักรพรรดิราชก็จะเสด็จปราบทวีปทั้ง 4 แล้วประทานโอวาทให้ชาวทวีปเหล่านั้นประพฤติและตั้งอยู่ในคุณงามความดีแล้ว จึงเสด็จกลับพระนคร 

      ช้างแก้ว (หัสดีรัตน์) คือแก้วอย่างที่สอง ซึ่งเป็นช้างที่มีความงดงาม ตัวเป็นสีขาว ตีนและงวงสีแดง เหาะได้รวดเร็ว 

      ม้าแก้ว (อัศวรัตน์) คือแก้วอย่างที่สาม เป็นม้าที่มีขนงามดังสีเมฆหมอก กีบเท้าและหน้าผากแดงดั่งน้ำครั่ง เหาะได้รวดเร็วเช่นเดียวกับช้างแก้ว 

      แก้วดวง (มณีรัตน์) คือแก้วอย่างที่สี่ เป็นแก้วที่มีขนาดยาวได้ 4 ศอก ใหญ่เท่าดุมเกวียนใหญ่ สองหัวแก้วมีดอกบัวทอง เมื่อมีความมืดแก้วนี้จะส่องสว่างให้เห็นทุกหนแห่งดังเช่นเวลากลางวัน แก้วนี้จะอยู่กับพระยาจักรพรรดิราชจนตราบเท่าเสด็จสวรรคาลัย จึงจะคืนไปอยู่ยอดเขาพิปูลบรรพตตามเดิม 

นางแก้ว (อิตถีรัตน์) คือแก้วอย่างที่ห้า เป็นหญิงที่จะมาเป็นมเหสีคู่บารมีของพระยาจักรพรรดิราช นางแก้วนี้จะต้องเป็นหญิงที่ได้ทำบุญมาแต่ชาติก่อน และมาเกิดในแผ่นดินของพระยาจักรพรรดิราชในตระกูลกษัตริย์ นางแก้วนี้จะเป็นหญิงที่มีลักษณะงดงามไปทุกส่วน จะทำหน้าที่เป็นภรรยาที่ดีของพระยาจักรพรรดิราช

      ขุนคลังแก้ว คือแก้วอย่างที่หก เกิดขึ้นเพื่อบุญแห่งพระยาจักรพรรดิราช และจะเป็นมหาเศรษฐี ขุนคลังแก้วจะสามารถกระทำได้ทุกอย่างที่พระยาจักรพรรดิราชต้องการเพราะขุน คลังแก้วมีหูทิพย์ตาทิพย์ดังเทวดาในสวรรค์ หากว่าพระยาจักรพรรดิราชต้องการทรัพย์สินสิ่งใดขุนคลังก็จะสามารถนำมาถวาย ได้ ลูกแก้ว คือแก้วประการสุดท้ายของพระยาจักรพรรดิราช หรือโอรสของพระยาจักรพรรดิราช มีรูปโฉมอันงดงาม กล้าหาญ เฉลียวฉลาด สามารถบริหารกิจการบ้านเมืองได้ทุกประการ บางตำราก็ว่าเป็นขุนพลแก้ว 

      สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกภูมิ เป็นสวรรค์ชั้นแรก สูงจากพื้นโลกได้ 46,000 โยชน์ จาตุมหาราชิกภูมิ แปลว่าแดนแห่ง 4 มหาราช สวรรค์ชั้นนี้ตั้งอยู่เหนือเทือกเขายุคนธรอันเป็นเทือกเขาแรกที่ล้อมรอบเขา พระสุเมรุ บนเทือกเขายุคนธรทั้ง 4 ทิศ มีเมืองใหญ่ 4 เมือง เมืองที่อยู่ทางทิศตะวันออกของเขาพระสุเมรุมีท้าวธตรฐเป็นเจ้าเมือง เป็นใหญ่เหนือคนธรรพ์ (เป็นอมนุษย์จำพวกหนึ่ง ครึ่งเทวดาครึ่งมนุษย์ เป็นนักดนตรีและชอบผู้หญิง) เมืองที่อยู่ทางทิศตะวันตกของเขาพระสุเมรุมีท้าววิรูปักษ์เป็นเจ้าเมือง เป็นใหญ่เหนือนาค เมืองที่อยู่ทางทิศใต้ของเขาพระสุเมรุมีท้าววิรุฬหกเป็นเจ้าเมือง เป็นใหญ่เหนือพวกกุมภัณฑ์ (เป็นยักษ์จำพวกหนึ่ง มีท้องใหญ่และมีอัณฑะเหมือนหม้อ) เมืองที่อยู่ทางทิศเหนือของเขาพระสุเมรุมีท้าวไพศรพเป็นเจ้าเมือง เป็นใหญ่เหนือพวกยักษ์ ท้าวมหาราชทั้ง 4 นี้เรียกรวมๆว่า จตุโลกบาลทั้ง 4 คือผู้ดูแลรักษาโลกทั้ง 4 ทิศ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นสวรรค์ชั้นที่ 2 สูงจากสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกภูมิได้ 46,000 โยชน์ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้นตั้งอยู่เหนือจอมเขาพระสุเมรุ มีนครไตรตรึงส์อยู่ตรงกลางสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ซึ่งเป็นเมืองของพระอินทร์ผู้ เป็นใหญ่แก่เทวดาทั้งหลาย เมืองพระอินทร์กว้างได้ 8,000,000 วา มีปรางค์ปราสาทแก้ว มีกำแพงแก้ว มีประตูทองประดับด้วยแก้ว 7 ประการ เมื่อเปิดประตูจะได้ยินเสียงดนตรีไพเราะ กลางนครไตรตรึงส์นี้มีไพชยนต์วิมานหรือปราสาทที่ประทับของพระอินทร์ สูง 25,600,000 วา ประดับด้วยสัตตพิพิธรัตนะหรือแก้ว 7 ประการที่งดงามมาก ไพชยนต์วิมานนั้นประกอบด้วยเชิงชั้นชาลา 100 ชาลา แต่ละชาลามีวิมานได้ 700 วิมาน วิมานหนึ่งมีนางอัปสร 7 คน นอกจากพระอินทร์ที่เป็นเจ้าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้ว ยังมีเทวดาอีก 32 พระองค์ครองเมือง 32 เมืองอยู่รอบนครไตรตรึงส์นี้ทิศละ 8 องค์ ทางทิศตะวันออกของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีสวนขวัญชื่อ นันทอุทยาน มีต้นไม้ดอกไม้วิเศษ เป็นที่เล่นสนุกของเหล่าเทวดาทั้งหลาย ใกล้อุทยานมีสระใหญ่ชื่อ นันทาโบกขรณี และจุลนันทาโบกขรณี น้ำในสระทั้งสองนี้ใสงามดังแก้วอินทนิล ริมฝั่งสระทั้งสองมีศิลาแก้ว 2 แผ่น ชื่อ นันทาปริถิปาสาณ และจุลนันทาปาริถิปาสาณ เป็นแผ่นศิลาที่มีรัศมีรุ่งเรือง ทางทิศใต้ของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีอุทยานชื่อ ผรุสกวัน แปลว่าสวนมะปราง มีสระใหญ่ชื่อภัทราโบกขรณี และสุภัทราโบรขรณี ที่ฝั่งสระทั้งสองมีศิลาแก้ว 2 แผ่น ชื่อภัทราปริถิปาสาณ และสุภัทราปริถิปาสาณ ทางทิศตะวันตกของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีอุทยานชื่อ จิตรลดาวัน แปลว่างามไปด้วยไม้เถา มีสระใหญ่ชื่อจิตรโบกขรณี และจุลจิตรโบรขรณี ที่ฝั่งสระทั้งสองมีศิลาแก้ว 2 แผ่น ชื่อจิตรปปาสาณ และจุลจิตรปาสาณ ทางทิศเหนือของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีอุทยานชื่อ สักกวัน มีสระใหญ่ชื่อธรรมาโบกขรณี และสุธรรมาโบกขรณี ที่ฝั่งสระทั้งสองมีศิลาแก้ว 2 แผ่น ชื่อธรรมาปริถิปาสาณ และสุธรรมาปริถิปาสาณ ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีอุทยานชื่อบุณฑริกวัน มีไม้ทองหลางใหญ่ชื่อ ปาริชาติกัลปพฤกษ์ ใต้ต้นกัลปพฤกษ์มีแท่นศิลาแก้วชื่อ บัณฑุกัมพล เป็นแท่นสีแดงเข้มดังดอกชบาและอ่อนดังฟูกผ้า ใกล้กันมีศาลาสุธรรมเทพสภาเป็นที่ประชุมและฟังธรรมของเทวดา ทิศตะวันออกเฉียงใต้ มีเจดีย์จุฬามณี เป็นเจดีย์ประดับด้วยทองและแก้ว 7 ประการ มีกำแพงทอง 4 ด้าน ประดับด้วยธงประฏาก (ธงเป็นผืนห้อยยาวลงมาอย่างธงจรเข้) ธงไชย และกลดชุมสาย (กลดทำด้วยผ้าตาดทองมีสายห้อยเป็นระย้าอยู่รอบๆ) มีเทวดาประโคมดนตรีถวายพระเจดีย์อยู่เสมอ พระอินทร์ก็เสด็จมายังเจดีย์จุฬามณีนี้บ่อยๆ สวรรค์ชั้นยามา เป็นสวรรค์ชั้นที่ 3 อยู่สูงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ 84,000 โยชน์ มีพระยาสยามเทวราชครองอยู่ สวรรค์ชั้นนี้สูงกว่าวิถีการโคจรของพระอาทิตย์ แต่ก็ไม่มืดเนื่องจากรัศมีแก้วและรัศมีตัวเทวดาส่องสว่างอยู่เสมอ สวรรค์ชั้นดุสิต เป็นสวรรค์ชั้นที่ 4 อยู่สูงจากสวรรค์ชั้นยามา 168,000 โยชน์ มีพระยาสันดุสิตเทวราช พระโพธิสัตว์ซึ่งจะเสด็จลงมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้า มีพระศรีอาริย์โพธิสัตว์ซึ่งจะมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้าในภายภาคหน้า สวรรค์ชั้นนิมมานรดี เป็นสวรรค์ชั้นที่ 5 อยู่สูงจากสวรรค์ชั้นดุสิต 336,000 โยชน์ สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี เป็นสวรรค์ชั้นที่ 6 อยู่สูงจากสวรรค์ชั้นนิมมานรดี 672,000 โยชน์ มีพระยาปรนิมมิตวสวัตตีครองอยู่ 
พรหมโลก อยู่เหนือสวรรค์ชั้นสูงสุด มี 2 ประเภท คือ รูปพรหม (รูปาวจร) มี 16 ชั้น และอรูปพรหม (อรูปาวจร) มี 4 ชั้น
วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง วรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับไตรภูมิ นอกจากนี้ เช่น ไตรภูมิโลกวินิจฉัย เรื่องเล่าจากไตรภูมิ สมุดภาพไตรภูมิ ฯลฯ


อ้างอิง * เสฐียรโกเศศ, เล่าเรื่องไตรภูมิ. (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์คลังวิทยา, ๒๕๑๘)


 


ความเชื่อของคนไทยในเรื่องไตรภูมิ


ความเชื่อของคนไทยในเรื่องไตรภูมิมีมาช้านาน
     1 สมัยทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 12-18)
     2 สมัยสุโขทัย (พุทธศตวรรษที่ 19-20)
     3 สมัยล้านนา (พุทธศตวรรษที่ 18-23)
     4 สมัยอยุธยา (พุทธศตวรรษที่ 20-23)
     5 สมัยรัตนโกสินทร์ (พุทธศตวรรษที่ 24-25)

     สมัยทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 12-18)
      ความเชื่อของคนไทยในเรื่องสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้น มีมาตั้งแต่ยุคแรกเริ่มของประวัติศาสตร์ที่ได้รับวัฒนธรรมอินเดียแล้วซึ่ง ก็คือสมัยทวารวดีนั่นเอง ตัวอย่างหลักฐานทางศิลปกรรมที่พบก็คือ ศิลาสลักนูนต่ำปิดทอง สูง 2 เมตร เป็นภาพพุทธประวัติตอนพระพุทธองค์แสดงยมกปฏิหารย์ และตอนทรงแสดงเทศนาโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ศิลาชิ้นนี้พบที่จังหวัดนครปฐม (?) จัดเป็นศิลปะทวารวดี พุทธศตวรรษที่ 13-15 นอกจากนี้ยังมีประติมากรรมนูนต่ำ สลักจากหิน รูปพระพุทธองค์ในพระอิริยาบถยืน พระหัตถ์แสดงปางปฐมเทศนาสั่งสอน มีรูปบุคคลชั้นสูง(พระพรหมหรือพระอินทร์)อยู่ทางซ้ายในอิริยาบถยืน อายุราวพุทธศตวรรษที่ 13-15 ตีความได้ว่าเป็นพุทธประวัติตอนพระพุทธองค์เสด็จจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

     สมัยสุโขทัย (พุทธศตวรรษที่ 19-20) 
      มาถึงในช่วงหลังพุทธศตวรรษที่ 19 อันมีราชธานีสุโขทัยศูนย์กลางแห่งอำนาจได้ก่อกำเนิดขึ้นมา ก็มีความเกี่ยวข้องกับคติสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เป็นอย่างมาก โดยพบร่องรอยหลักฐานทั้งทางโบราณคดีและหลักฐานทางศิลปกรรมเป็นจำนวนมาก เริ่มจากการวางผังเมืองที่มีคูน้ำคันดินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาด 1,400 X 1,810 เมตรล้อมรอบบริเวณตัวเมือง ศิลาจารึกหลักที่ 1 ระบุว่า “รอบเมืองสุโขทัยนี้ ตรีบูรได้สามพันสี่ร้อยวา” ตรีบูร หมายถึง กำแพงเมือง 3 ชั้น และยังอาจมีความหมายเชิงสัญลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์ คือ เป็นดังเมืองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ซึ่งอยู่บนยอดเขาพระสุเมรุ มีศูนย์กลางความศักดิ์สิทธิ์ คือ พระศรีมหาธาตุทรงยอดดอกบัวตูมซึ่งเป็นเจดีย์ประธานของวัด อาจหมายถึงเจดีย์จุฬามณีที่ตั้งอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ด้วย และที่มณฑปวัดตระพังทองหลาง ผนังด้านใต้ก็ทำปูนปั้นภาพเล่าเรื่องตอนพระพุทธองค์เสด็จจากสวรรค์ชั้น ดาวดึงส์ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ศิลปะสุโขทัยยังนิยมทำพระพุทธรูปลีลาซึ่งเป็นเรื่องในพุทธประวัติ ตอนเสด็จจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อีกด้วย โดยรับอิทธิพลจากศิลปะพม่าสมัยเมืองพุกามผ่านมาทางล้านนา

      สมัยล้านนา (พุทธศตวรรษที่ 18-23) 
      แคว้นล้านนานั้นถึงแม้ว่าทางด้านสถาปัตยกรรม ชาวล้านนาจะไม่นิยมสร้างให้ดูโดดเด่นเป็นศูนย์กลางจักรวาลแบบขอมแต่กลับ นิยมสร้างให้กลมกลืนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ แต่คติไตรภูมิและสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ก็ยังมีอิทธิพลในงานปะติมากรรมและ จิตรกรรมอยู่บ้าง งานจิตรกรรมก็นิยมการเขียนภาพพระบฏ ซึ่งนิยมเขียนภาพพุทธประวัติตอนพระพุทธองค์เสด็จจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เช่น พระบฏ จากวัดกรุเงิน เชียงใหม่ พระบฏผืนนี้กว้าง 180 เซนติเมตร ยาว 340 เซนติเมตร เป็นภาพพระพุทธรูปขนาดใหญ่ในพระอิริยาบทลีลาจากขั้นบันได อยู่ภายในพื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวตั้งซึ่งเป็นประธานของภาพทั้งหมด ขนาบข้างด้วยบันไดซึ่งมีพื้นที่เล็กว่าเป็นทางลงของของพระพรหม พระอินทร์ และเหล่าวิทยาธร ส่วนบนแสดงภาพสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ที่พระพุทธองค์เสด็จจากมาหลังจากทรงเทศนา พระอภิธรรมถวายพระพุทธมารดาที่พระเจดีย์จุฬามณี เทวดาที่มานมัสการ รวมทั้งภาพปราสาทไพชยนต์ของพระอินทร์ด้วย

     สมัยอยุธยา (พุทธศตวรรษที่ 20-23) 
      สำหรับอาณาจักรอยุธยานี้ คติความเชื่อเรื่องไตรภูมิและสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้มีความสัมพันธ์อย่างลึก ซึ้งกับวัฒนธรรมประเพณีของชาวอยุธยาเป็นอย่างยิ่ง เห็นได้จากอุดมคติเรื่องพระจักรพรรดิราช (พระจักรพรรดิราชหรือเจ้าเป็นใหญ่ในทั่วสารทิศตามคติของอินเดียที่ส่งมาให้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ) ซึ่งต้องสร้างและบูรณะพระสถูปเจดีย์สำคัญตามเมืองต่างๆ ดังเห็นได้จากพระนามของพระมหากษัตริย์และเจ้านายที่สำคัญที่เรียกว่า สมเด็จพระบรมราชา มหาจักรพรรดิราช และพระอินทราชาธิราช เป็นต้น อุดมคติในเรื่องพระจักรพรรดิราชนี้มักสัมพันธ์กับพระอินทร์ นอกจากนั้นยังสัมพันธ์กับพระราชพิธีเนื่องในโอกาสพิเศษ เช่น พระราชพิธีอินทราภิเษก ซึ่งเป็นพระราชพิธีที่อุปมาเหมือน การอภิเษกพระอินทร์กลับเข้าไปปกครองบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เหนือยอดเขาพระ สุเมรุอันเป็นแกนกลางของจักรวาล พระราชพิธีนี้ได้มีกล่าวในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาว่าได้กระทำขึ้นในสมัย สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ในด้านงานศิลปกรรมต่างๆ ก็มีคติความเชื่อเรื่องสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เข้าไปเป็นแรงบันดาลใจให้ช่าง ด้วยเช่นกัน สถาปัตยกรรมต่างๆ ของอยุธยานั้นก็มีแรงบันดาลใจจากคติความเชื่อเรื่องไตรภูมิและสวรรค์ชั้น ดาวดึงส์ หลายวัดมีคูน้ำล้อมรอบนอกจากทางด้านประโยชน์ใช้สอยที่เป็นรูปธรรมแล้ว ยังเป็นการแสดงถึงความเชื่อว่า คูน้ำแทนมหานทีสีทันดรที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุอันเป็นศูนย์กลางจักรวาล ส่วนเจดีย์ประธานของวัดเทียบได้กับพระศรีรัตนมหาธาตุหรือก็คือ เจดีย์จุฬามณีที่สถิตอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั่นเอง ในสมัยของพระเจ้าปราสาททองนั้นมีการฟื้นฟูและสร้างพระราชพิธีทางระบบความ เชื่อที่เกี่ยวกับการเป็นจักรพรรดิราช มีการสร้างวัดและปราสาทเป็นจำนวนมาก เช่น วัดไชยวัฒนาราม ที่มีคติการสร้างวัดคือ การสร้างเขาพระสุเมรุอันเป็นศูนย์กลางจักรวาล นอกจากนี้พระเจ้าปราสาททองยังได้สร้างพระที่นั่งจักรวรรดิไพชยนต์ขึ้นริม กำแพงพระราชวัง ซึ่งพระเจ้าปราสาททองเองก็ทรงตั้งชื่อพระที่นั่งนี้เป็นชื่อเดียวกับปราสาท ที่ประทับของพระอินทร์ งานจิตรกรรมของศิลปะอยุธยา ที่ปรากฏคติความเชื่อเรื่องไตรภูมิและสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้นส่วนใหญ่จะ ปรากฏในช่วงของอยุธยาตอนกลางและตอนปลาย ซึ่งนิยมเขียนภาพไตรภูมิไว้ผนังด้านหน้าหรือด้านหลังพระประธาน ตัวอย่างงานจิตรกรรมในสมัยอยุธยาก็สามารถหาชมได้มากมาย เช่น จิตรกรรมฝาผนังด้านเหนือ ตำหนักวัดพุทไธสวรรค์ ครึ่งแรกพุทธศตวรรษที่ 23 สร้างในรัชกาลสมเด็จพระเพทราชา ประติมากรรม ในศิลปะอยุธยา ปรกฏการทำงานปูนปั้นนูนสูงเรื่องพุทธประวัติตอนเสด็จจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ประดับอยู่ที่ผนังด้านนอกวิหารวัดไลย์ อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี มีอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 21

      สมัยรัตนโกสินทร์ (พุทธศตวรรษที่ 24-25) 
      คติความเชื่อเรื่องไตรภูมิและสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ยังคงปรากฏและสืบเนื่องจากอยุธยามายังรัตนโกสินทร์ เห็นได้จากงานศิลปกรรมบางส่วนช่างก็ยังคงใช้แรงบันดาลใจจากคติเหล่านี้ นอกจากนี้ในรัชสมัยของรัชกาลที่ 4 โปรดให้มีพระราชพิธีอินทราภิเษก

      สถาปัตยกรรม   วัดในบางแห่งก็ยังคงใช้คติความเชื่อเรื่องไตรภูมิและสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ใน การสร้าง เช่น วัดสุทัศน์เทพวราราม ปรากฏการใช้คติความเชื่อเรื่องสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ในการสร้างวิหารประดิษฐาน พระศรีศากยมุนี วิหารแห่งนี้มีหน้าบันแกะสลักเป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอรวัณ มีวิหารน้อยอยู่รอบๆวิหารหลัก 4 มุมซึ่งหมายถึงทวีปทั้ง 4 มีเจดีย์แบบจีนเรียงรายอยู่รอบวิหารหลัก 33 องค์ รวมกับวิหารหลักเป็น 33 องค์ครบตามจำนวนเทพที่สถิตย์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ที่มีทั้งหมด 33 องค์นั่นเอง (รูปที่ 10)

      จิตรกรรม  ก็ยังเขียนภาพตามคติความเชื่อเรื่องไตรภูมิและสวรรค์ชั้นดาวดึงส์สืบเนื่อง มาจากอยุธยาตอนปลาย เช่น งานจิตรกรรมที่พระอุโบสถวัดระฆัง ผนังด้านหลังพระพุทธรูปเขียนจิตรกรรมเป็นรูปเขาพระสุเมรุและสวววรค์ชั้น ดาวดึงส์ ด้านข้างทั้งสองเขียนรูปเทพชุมนุม ด้านหน้านั้นเขียนเป็นรูปพระพุทธเจ้ากำลังแสดงธรรมอยู่ที่สวรรค์ชั้น ดาวดึงส์ และพระพุทธเจ้ากำลังจะเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์โดยมีพระอินทร์และพระ พรหมณ์มาส่ง

     วรรณคดี  ไตรภูมิได้แทรกอยู่ในวรรณคดีไทยหลายเรื่อง เช่น ขุนช้างขุนแผนตอนที่ขุนแผนลอบขึ้นไปหานางวันทอง ซึ่งเดิมเป็น ภรรยาภรรยาตนแต่ขุนช้างแย่งเอาไป เมื่อขุนแผนขึ้นไปบนบนเรือนขุนช้างเห็นม่านที่กั้นอยู่ก็ตกตะลึงหวนคิดถึง ความหลังคิดถึงนางวันทองขึ้นมาทันที

   ม่านนี้ฝีมือวันทองทำ จำได้ไม่ผิดนัยน์ตาพี่เส้น
   ไหมแม้นเขียนแนบเนียนดี สิ้นฝีมือแล้วแต่นางเดียว
   เจ้าปักเป็นป่าพนาเวศ ขอบเขตเขาคลุ้มชะอุ่มเขียว
   รุกขชาติดาดใบระบัดเรียว พริ้งเพรียวดอกดกระดะดวง
   ปักเป็นมยุราลงรำร่อน ฟ่ายฟ้อนอยู่บนยอดภูเขาหลวง
   แผ่หางกางปีกเป็นพุ่มพวง ชนีหน่วงเหนี่ยวไม้ชะม้อยตา
   ปักเป็นหิมพานต์ตระหง่านงาม อร่ามรูปพระสุเมรุภูผา
   วินันตกหัสกรรณเป็นหลั่นมา การวิกอิสินธรยุคุนธร
   อากาศคงคาชลาสินธุ์ มุจลินท์ห้าแถวแนวสลอน
   ไกรลาสสะอาดเอี่ยมอรชร ฝูงกินนรคนธรรพ์วิทยา
   ลงเล่นน้ำดำดั้นอโนดาต ใสสะอาดเยือกเย็นเห็นขอบผา
   หมู่มังกรล่อแก้วแพรวพราวตา ทัศนารำลึกถึงวันทอง”


พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (เปลี่ยนทางมาจาก พระยาลิไท)


      พญาลิไท หรือ พระยาลิไท หรือ พระศรีสุริยพงศ์รามมหาราชาธิราช หรือพระมหาธรรมราชาที่ 1 (ครองราชย์ พ.ศ. 1897 - พ.ศ. 1919) พระมหากษัตริย์อาณาจักรสุโขทัยราชวงศ์พระร่วงลำดับที่ 5 พระโอรสพญาเลอไท และพระราชนัดดาของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช

      พญาลิไทเป็นกษัตริย์องค์ที่ 6 แห่งกรุงสุโขทัย ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระยางัวนำถม จากหลักฐานในศิลาจารึกวัดพระมหาธาตุ พ.ศ. 1935 หลักที่ 8 ข. ค้นพบเมื่อ พ.ศ. 2499 ได้กล่าวว่า เมื่อพระยาเลอไทสวรรคต ใน พ.ศ. 1884 พระยางัวนำถมได้ขึ้นครองราชย์ ต่อมาพระยาลิไทยกทัพมาแย่งชิงราชสมบัติได้ และขึ้นครองราชย์ใน พ.ศ. 1890 ทรงพระนามว่า พระเศรีสุริยพงสรามมหาธรรมราชาธิราช ในศิลาจารึกมักเรียกพระนามเดิมว่า "พระยาลิไท" หรือเรียกย่อว่า พระมหาธรรมราชาที่ 1

      พญาลิไททรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก ทรงผนวชในพระพุทธศาสนาเมื่อ พ.ศ. 1905 ที่วัดป่ามะม่วง นอกเมืองสุโขทัยทางทิศตะวันตก ทรงอาราธนาพระสามิสังฆราชจากลังกาเข้ามาเป็นสังฆราชใน กรุงสุโขทัย เผยแพร่เพิ่มความเจริญให้แก่พระศาสนามากยิ่งขึ้น ทรงสร้างและบูรณะวัดมากมายหลายแห่ง รวมทั้งการสร้างพระพุทธรูปเป็นจำนวนมาก เช่น พระพุทธชินสีห์ พระศรีศาสดา และพระพุทธรูปองค์สำคัญองค์หนึ่งของประเทศคือ พระพุทธชินราช ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร

      พญาลิไท ทรงปราดเปรื่องในความรู้ในพระพุทธศาสนา ทรงมีความรู้แตกฉานในพระไตรปิฎก พระองค์ได้ทรงแบ่งพระสงฆ์ออกเป็น 2 ฝ่ายคือฝ่าย "คามวาสี" และฝ่าย "อรัญวาสี" โดยให้ฝ่ายคามวาสีเน้นหนักการสั่งสอนราษฎรในเมืองและเน้นการศึกษาพระไตรปิฎก ส่วนฝ่ายอรัญวาสีเน้นให้หนักด้านการวิปัสสนาและประจำอยู่ตามป่าหรือชนบท ด้วยทรงเป็นองค์อุปถัมภ์พระศาสนาตลอดพระชนม์ชีพ ราษฎรจึงถวายพระนามว่า "พระมหาธรรมราชา"

     นอกจากศาสนาพุทธแล้ว พญาลิไทยังทรงอุปถัมภ์ศาสนาพราหมณ์ด้วยโดยทรงสร้างเทวรูปขนาดใหญ่หลายองค์  ซึ่งยังเหลือปรากฏให้ศึกษาในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติในกรุงเทพมหานครและที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจังหวัดพิษณุโลก 
ทรงทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญหลายประการ เช่น สร้างถนนพระร่วงตั้งแต่เมืองศรีสัชนาลัยผ่านกรุงสุโขทัยไปถึงเมืองนครชุม (กำแพงเพชร) บูรณะเมืองนครชุม สร้างเมืองสองแคว (พิษณุโลก) เป็นเมืองลูกหลวง

      ด้านอักษรศาสตร์ ทรงพระปรีชาสามารถนิพนธ์หนังสือไตรภูมิพระร่วงที่นับเป็นงานนิพนธ์ที่เก่าแก่ที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย


*********


2 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ วันพฤหัสบดี, 25 กันยายน, 2551  

เยี่ยม

หวังว่ามายคงสอบผ่านค่ะ


อิอิ

ไม่ระบุชื่อ วันอาทิตย์, 21 ธันวาคม, 2551  

โห.....

ทำไมเพิ่งมาเห้นเนี่ยสอบไปแล้ว

แต่ก็ได้อ่านเพิ่มเติมขอบคุณมากค่ะ

  © ขอขอบคุณ Blogger template 'Ultimatum' by s-hatcore ๒๕๕๐ : s-hatcore

กลับขึ้นข้างบน : Back to TOP