วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ประวัติ พระเทพสิทธินายก

พระเทพสิทธินายก
(หลวงปู่นาค โสภโณ)
อดีตเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม
กรุงเทพมหานคร

 
ชื่อ นาค
นามสกุล มะเริงสิทธิ์

ชาติภูมิ
บ้านปราสาท ตำบลจันอัด (ตำบลเมืองปราสาท ในปัจจุบัน) อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา

ชาติกาล
วันศุกร์ ที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๒๗ (ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๙ ปีวอก จุลศักราช ๑๑๔๖) เวลา ๑๙๑๐ น.
ทวด หลวงเริง ต้นตระกูลมะเริงสิทธิ์ (เป็นตระกูลผู้มีอันจะกินตระกูลหนึ่งแห่งเมืองนครราชสีมา
ปู่ ย่า
      ปู่ชื่อ ขุนประสิทธิ์ (อยู่) เป็นนายอากรเมืองโคราช
      ย่าชื่อ ฉิม มะเริงสิทธิ์
ตา ยาย
      ตาชื่อ พระวิเศษ (ทองศุข)
      ยายชื่อ อิ่ม
บิดาชื่อ นายป้อม มะเริงสิทธิ์
มารดาชื่อ นางสงวน มะเริงสิทธิ์
ญาติพี่น้องร่วมบิดามารดา มี ๔ คน คือ
      ๑.พระเทพสิทธินายก (นาค มะเริงสิทธิ์)
      ๒.พระภิกษุโชติ มะเริงสิทธิ์
      ๓.นางทุเรียน ปภาวดี
      ๔.นางอุดร จุลรัษเฐียร


ชีวิตวัยเยาว์  
      เป็นเด็กใฝ่แสวงหาความรู้ใส่ตัว เพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่วงศ์ตระกูล ตั้งแต่สมัยบ้านเมืองยังไม่มีโรงเรียน เด็กผู้ชายสมันนั้นต้องอาศัยวัดเป็นสถานที่เรียนหนังสือ บิดามารดาพาท่านมาฝากเป็นเด็กวัด อยู่กับพระครูสังฆวิจารย์ (มี) ผู้เป็นลุง ที่วัดบึง ใกล้ประตูชุมพล นครราชสีมา ได้รับการอบรม อ่าน เขียน เรียนหนังสือทั้งภาษาไทย ภาษาขอม ภาษาบาลี อาศัยที่ท่านเป็นคนมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเล่าเรียนเก่ง ความทรงจำดี มีความประพฤติเรียบร้อยอาจารย์จึงแนะนำให้เดินทางเข้าศึกษาเล่าเรียนต่อในสำนักที่ดีๆ ในกรุงเทพฯ เพื่อความเจริญก้าวหน้าสืบไป


บรรพชา
      ประมาณปี พ.ศ.๒๔๔๐ อายุได้ ๑๓ ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดบึง ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา โดยมีพระครูสังฆวิจารย์ (มี) เป็นพระอุปัชฌาย์


เข้ากรุงเทพฯ
    เมื่อบรรพชาเป็นสามเณรแล้ว ท่านได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ โดยกองคาราวานวัวต่าง มีผู้ร่วมเดินทางประมาณ ๓๐ คน เดินทางจากโคราชรอนแรมมาเป็นเวลาแรมเดือน จวนจะถึงจังหวัดสระบุรี ท่านเห็นกุลี (กรรมกร) จำนวนมากกำลังกรุยทางเพื่อสร้างทางรถไฟไปนคราชสีมา พอถึงเมืองสระบุรีท่านรู้สึกไม่ค่อยสบาย บิดาจึงพาแยกออกจากกองคาราวาน ฝากตัวเป็นลูกศิษย์อยู่กับพระภิกษุรูปหนึ่งมีศักดิ์เป็นน้าที่วัดทองพุ่มพวง สระบุรี หลวงน้าช่วยอุปการะอยู่ที่วัดเป็นเวลานานหลายเดือนระหว่างนั้นท่านได้ศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติมต่อไปด้วย โดยมิได้ลดละความตั้งใจที่จะเดินทางเข้าศึกษาธรรมะบาลีในกรุงเทพฯ ให้ได้ในโอกาสหน้า ในที่สุดพระน้าชายก็ได้นำสามเณรนาคเดินทางเข้าถึงกรุงเทพฯ โ    ดยนำไปฝากไว้กับพระอาจารยเลื่อม พระลูกวัดระฆังโฆสิตาราม ซึ่งกุฎิของท่านอยู่หน้าวัดใกล้ปากคลอง (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งโรงเรียนสตรีวัดระฆัง)
พระอาจารย์เลื่อม เป็นพระหลวงตาที่ชราภาพมาก แต่เป็นผู้เคร่งครัดในพระธรรมวินัย มีลูกศิษย์มาก ท่านเป็นปรมาจารย์ในทางวิปัสสนากัมมัฏฐาน ท่านได้พร่ำสอนสามเณรนาคด้วยความรักและเอ็นดู สามเณรนาคเองก็เป็นคนว่านอนสอนง่าย ยุคนั้นวัดระฆังโฆสิตารามมี พระธรรมไตรโลกาจารย์ ซึ่งต่อมาได้เป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (มร.ว.เจริญ อิศรางกูร ณ อยุธยา) เป็นเจ้าอาวาสปกครองวัด สมเด็จองค์นี้เป็นศิษย์เอกของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหมฺรํสี) พระธรรมไตรโลกาจารย์มองเห็นว่า ต่อไปภายหน้าสามเณรนาคจะสร้างเกียรติประวัติดีเด่นเป็นเอกในสำนัก ทั้งการปริยัติคือการเล่าเรียนภาษาไทย ภาษาบาลี และการปฏิบัติในทางวิปัสสนากัมมัฏฐาน จึงรับสามเณรนาคไว้ในอุปการะ
บ้านเมืองในสมันนั้น ฝั่งกรุงเทพฯ กับฝั่งกรุงธนบุรี แม้ห่างกันเพียงแค่แม่น้ำเจ้าพระยากั้นเท่านั้น แต่ก็มีความเจริญแตกต่างกัน กรุงเทพฯ เมืองหลวงใหม่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก แต่วัดระฆังฯ ที่อยู่ฝั่งธนบุรีเมืองหลวงเก่า กลับดูเป็นเหมือนว่าอยู่ห่างไกลความเจริญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัดระฆังฯ นั้น มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล รายล้อมด้วยเรือกสวนไร่นา เป็นดินแดนแห่งความสงบวิเวกวังเวง เหมาะสมเป็นที่ประพฤติพรตพรหมจรรย์ของพระสงฆ์องค์เจ้าผู้เคร่งครัดพระธรรมวินัยและใฝ่ปฏิบัติ


การศึกษา
      หลวงปู่นาค เล่าว่า “พระอาจารย์นวล เป็นผู้เชี่ยวชาญภาษาบาลี เดิมทีจำพรรษาอยู่ที่วัดมหาธาตุ แต่ได้ข้าวฝากมาสอนบาลีอยู่ที่วัดระฆังฯ และได้เป็นอาจารย์สอนบาลีหลวงปู่ด้วย”
      พ.ศ.๒๔๔๒
      สามเณรนาค อายุได้ ๑๕ ปี ได้เล่าเรียนภาษาบาลีมีความรู้ถึงขั้นเข้าแปล บาลีเปรียญธรรม ๓ ประโยคเป็นครั้งแรกต่อหน้าพระที่นั่ง โดยมีพระเถรานุเถระทรงสมณศักดิ์หลายรูปเป็นกรรมการฝ่ายสงฆ์ ผลปรากฏว่าสามเณรนาคสอบแปลด้วยปากได้เปรียญธรรม ๓ ประโยค ได้รับพระราชทานไทยธรรมเครื่องอัฏฐบริขาร จากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
      พ.ศ.๒๔๔๘
      สามเณรนาคมิได้หยุดยั้งความตั้งใจ พยายามศึกษาเล่าเรียนต่อและได้เข้าสอบแปลประโยคบาลีต่อหน้าพระที่นั่งอีกครั้งหนึ่ง ผลปรากฏว่าสอบไล่ได้เปรียญธรรม ๔ ประโยค โดยการแปลด้วยปาก ซึ่งเป็นการยากสำหรับยุคนั้น แต่ละครั้งที่เข้าสอบจะมีพระภิกษุสามเณรสอบได้เพียงไม่กี่รูป


อุปสมบท
      พ.ศ.๒๔๔๘
      พระธรรมไตรโลกาจารย์ (ม.ว.ร.เจริญ อิศรางกูล ณ อยุธยา) ผู้อุปการะสามเณรนาค เห็นว่ามีอายุครบอุปสมบทเป็นพระภิกษุได้แล้ว จึงจัดการนิมนต์พระมีสมณศักดิ์สูงมาเป็นพระอุปัชฌาย์อาจารย์ ในพิธีการอุปสมบท ณ พระอุโสถวัดระฆังโฆษิตาราม โดยมี
      สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฤทธิ์) วัดอรุณราชวราราม เป็นพระอุปัชฌาย์
      สมเด็จพระวันรัต (ฑิต) วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์
      พระธรรมโกษาจารย์ (แพ) วัดสุทัศนเทพวราราม เป็นพระอนุศาสวนาจารย์ (ต่อมาได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช)
สำหรับพระธรรมไตรโลกาจารย์ ได้เป็นผู้บอกอนุศาสน์ พระอุปัชฌาย์ให้นามฉายาพระมหานาคว่า “โสภโณ”

พ.ศ.๒๔๔๙

      พระมหานาค โสภโณ เข้าสอบแปลเปรียญธรรม๕ ประโยคได้ แต่ไม่ได้เข้าสอบเปรียญธรรมต่อถึงประโยค ๖ ทั้งนี้เพราะเหตุที่ท่านมีภารกิจเป็นผู้รับใช้ใกล้ชิดถวายงานวัดให้เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒโฆษาจารย์ เจ้าอาวาส


เรียนวิปัสสนา
      ในระหว่างที่ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมบาลีอยู่นั้น ท่านได้หาเวลาไปศึกษาทางวิปัสสนากัมมัฏฐานเพิ่มเติมกับพระอาจารย์ที่วัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง) และวัดราชสิทธาราม (วัดพลับ) และได้ลงมือปฏิบัติจิตภาวนาอย่างเคร่งครัด โดยเพียรพยายามศึกษาและฝึกปฏิบัติอยู่นานถึง ๑๐ ปี ก็สามารถทำมูลกัมมัฏฐานเป็นฌานวิปัสสนาสามารถส่งกระแสจิตได้ ดังมีเรื่องเล่าว่า ที่วัดระฆังโฆสิตาราม ในครั้งหนึ่งมีลูกโยคีมาฝึกทำวิปัสสนา จนสามารถถอดวิญญาณดูนรกสวรรค์ และท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่างๆ ได้ เป็นเวลานานถึง ๒ วัน ก็ยังไม่คืนสติ ยังคงนั่งสมาธิอยู่เช่นนั้น
ท่านเจ้าประคุณพระเทพสิทธินายก (หลวงปู่นาค) ในฐานะที่เป็นผู้อำนวยการฝึกสอนอยู่ จึงได้นั่งสมาธิส่งกระแสจิตไปตามวิญญาณของลูกโยคีผู้นั้น แล้วไปพบอยู่ที่สุสานวัดดอน เขตยานนาวา ปรากฏว่า เห็นกำลังเที่ยวเพลิดเพลินอยู่ ท่านจึงส่งกระแสจิตเตือนวิญญาณนั้น ให้กลับคืนร่างตามเดิม เพราะล่วงมา ๒-๓ วันแล้ว ถ้าหากล่าช้าจะคืนเข้าร่างเดิมไม่ได้ เพราะร่างกายอาจเปื่อยเน่าเสียก่อน วิญญาณของลูกโยคีผู้นั้นจึงได้สติ แล้วกลับคืนเข้าร่างตามเดิม ณ ที่นั่งสมาธิอยู่ในศาลาวัดระฆังฯ
      นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าว่า คุณโยมของท่านป่วยหนักอยู่ที่จังหวัดนครราชสีมา โดยมิได้ส่งข่าวคราวถึงท่าน แต่ท่านก็สามารถหยั่งรู้ได้ในสมาธิ แล้วนำหยูกยาไปรักษาพยาบาลได้อย่างถูกต้องเพราะท่านใช้กระแสจิตในทางวิปัสสนาเป็นตัวกำหนดจิตทำให้เกิดเป็นพลังขึ้นมา เป็นเหตุให้ท่านคิดสร้าง พระสมเด็จ ปี พ.ศ.๒๔๘๔ ขึ้นมา โดยอาศัยตำราของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหมฺรํสี) ระหว่างนั้นเป็นเวลาที่บ้านเมืองเกิดสงครามเอเชียบูรพาอยู่ ท่านจึงได้แจกจ่ายพระสมเด็จดังกล่าวให้ทหารติดตัวไปในสมรภูมิ เพื่อเป็นการบำรุงขวัญและกำลังใจแก่ทหารอีกส่วนหนึ่งด้วย พระสมเด็จที่หลวงปู่นาคท่านได้จัดสร้างขึ้นครั้งนั้น และที่สร้างขึ้นในรุ่นต่อๆ มา ปรากฏว่า ได้ก่ออภินิหารคงกระพันชาตรี มีพลังทางเมตตามหานิยม มีเกียรติคุณเป็นเยี่ยมในวงการพระเครื่อง ตลอดมาตราบเท่าทุกวันนี้


หน้าที่การงาน
    พ.ศ.๒๔๖๗
       - เป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆษิตาราม
    พ.ศ.๒๔๖๘
       - เป็นเจ้าสำนักเรียนวัดระฆังโฆษิตาราม


เกียรติคุณ
      - เป็นพระปฏิบัติเคร่งครัดพระธรรมวินัย
      - เป็นพระวิปัสสนาจารย์มีจิตใจสงบเป็นสมาธิ สามารถเข้าวิปัสสนาถึงขั้นถอดจิตได้
      - สร้างวัตถุมงคล พระผงสูตรสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหมฺรํสี) มากมายหลายรุ่น
      - นามท่านชาวบ้านเรียกขานติดปากว่า “หลวงปู่นาค” วัดระฆังฯ ตราบเท่าถึงทุกวันนี้

สมณศักดิ์
    พ.ศ.๒๔๖๔
      - ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ที่ พระธรรมกิติ
    พ.ศ.๒๔..
      - ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราช ที่ พระราชโมฬี
    พ.ศ.๒๔๗๔
      - ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ที่ พระเทพสิทธินายก


มรณภาพ
       ด้วยโรคชรา ที่โรงพยาบาลศิริราช จังหวัดธรบุรี เมื่อวันศุกร์ ที่ ๑๕ มกราคม พ.ศ.๒๕๑๔ เวลา ๐๔๔๕ น. สิริรวมอายุได้ ๘๗ ปี อยู่ในสมณเพศ ๗๕ ปี เป็นเจ้าอาวาสครองวัดระฆังโฆสิตาราม อยู่ ๔๗ ปี นับว่าเป็นเจ้าอาวาสที่ครองวัดนานที่สุดองค์หนึ่ง


*********


0 ความคิดเห็น:

  © ขอขอบคุณ Blogger template 'Ultimatum' by s-hatcore ๒๕๕๐ : s-hatcore

กลับขึ้นข้างบน : Back to TOP